ภาษาต่างประเทศ

ภาษาอังกฤษ
   


Parts of Speech


คำ และชนิดของคำ (Parts of speech)

Parts of Speech มีอะไรบ้าง ง่ายๆ จำไว้แค่ว่า มี 8 อย่างเท่านั้นเอง มี
    1. Noun คำนาม
    2. Pronoun คำสรรพนาม
    3. Verb กริยา
    4. Adverb กริยาวิเศษณ์
    5. Adjective คำคุณศัพท์
    6. Preposition บุพบท
    7. Conjunction คำสันธาน
    8. Interjection คำอุทาน    
















 1. Noun คือ คำที่ใช้เรียกแทน ชื่อ คน สัตย์ สิ่งของ 

    คำนามมี นามทั่วไป กับ นามเฉพาะ  
    ตำแหน่งและหน้าที่: เป็นได้ทั้งประธานและกรรม ในประโยค

 2. Pronoun คือ คำที่ใช้เรียกแทน Noun หรือ เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้คำซ้ำ
    ยกตัวอย่าง เวลาเราเรียกหรือเอ่ยคำใดคำหนึ่งบ่อยๆจะหลีกเลี่ยงการใช้คำซ้ำโดยการใช้คำ สรรพนาม แทน
    คือ ครั้งแรก เรียกชื่อ และครั้งต่อๆไปจึงเรียก เขา หรือ เธอ 
  3. Verb ก็คือกริยา มี verb แท้ และ verb ไม่แท้
    มีวิธีสังเกตุง่ายๆ
    verb แท้ จะผันตามประธานและ tense ค่ะ รวมถึง helping verb ทั้ง 24 ตัว
    ยกตัวอย่างเช่น ถ้าประธานเป็นเอกพจน์บุรุษที่ 3 กริยาจะผันตามประธานคือ เติม s หรือ es 
    ก่อนอื่นเลย บุรุษที่ 1 ก็คือ ตัวผู้ผูดเอง มีแค่ I กับ we
                 บุรษที่ 2 คือ คนที่เราพูดด้วย คือ you
                 บุรุษที่ 3 คือ คนที่เราพูดถึง หรือที่เรามักคุ้นเคยกับคำว่า บุคคลที่สามนั่นเอง มีคำว่า they he she it
    แล้วเอกพจน์บุรษที่สามคือคำว่า he she it ค่ะ ที่เป็นเอกพจน์แล้วก็อยู่ในบุรุษที่ 3 ด้วย ส่วน they เป็นพหูพจน์ค่ะ
    เอกพจน์บุรุษย์ที่ 3 ยังรวมถึง ชื่อคน สัตว์ สิ่งของ ที่มีสิ่งเดียวอันเดียวด้วย


 ตัวอย่างการผันของกริยาตามประธาน


    
Marry loves playing sports. แมรี่ชอบเล่นกีฬา
 สังเกตุว่าประโยคนี้ loves เติม s ค่ะ แสดงว่า ประโยคนี้ กริยาแท้จะต้องเป็น loves
ถ้าผันตาม tense 


4. Adverb คือ คำที่ขยาย กริยา แต่ ไม่ใช่แค่ขยาย verb ได้อย่างเดียว
    Adverb ขยายได้ 3 อย่าง คือ ขยาย verb, adjective หรือแม้กระทั้ง ขยาย adverb ด้วยกันเอง

    1. Slowly, I walk to school. adverb อยู่หน้าประโยค เวลาที่เน้นกริยาเป็นพิเศษ
    2. I walk to school slowly.   adverb อยู่หลัง verb เมื่ออยากขยาย verb แบบ เบๆ ปกติ ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ
    3. I always walk to school.  adverb อยู่หน้า verb เมื่อเป็น adverb บอกความถี่
      ( adverb บอกความถี่ก็อยู่หน้าประโยคได้ ถ้าต้องการเน้นกริยาเป็นพิเศษ แต่ บอกความถี่อยู่หลัง verb ไม่ได้)

 5. Adjective คือ คำที่ขยายคำนามหรือสรรพนาม ตำแหน่งมีแค่ 2 ที่ 
เน้นๆ อยู่หลัง v.to be และ อยู่หน้าคำนามที่่มันขยายเสมอ
ตำแหน่งที่ 1 อยู่หลัง v. to be
    เช่น I am beautiful. ฉันสวย (ประโยคนี้ adjective อยู่หลัง am ซึ่งเป็น v. to be 
    และหน้าที่ของมันก็คือขยายคำนามหรือสรรพนาม ก็ขยายคำว่า I )
ตำแหน่งที่ 2 อยู่หน้าคำนามที่มัันขยายค่ะ
    เช่น pretty girl เด็กหญิงผู้น่ารัก (pretty เป็นคำ adjective แปลว่า น่ารัก ขยายคำว่า เด็กผู้หญิง 
    ให้ได้ใจความชัดเจนยิ่งขึ้น สังเกตุว่า อยู่หน้าคำนาม) แต่จำไว้ว่า adjective ขยายนามที่อยู่ข้างหลัง

tip
size รวมถึง lenght ที่เป็นความยาวด้วยนะคะ
shape รวมถึง width ที่เป็นความกว้าง
ตัวอย่างเช่น
beautiful long straight black hair. 
beautiful เป็น opinion เป็นความคิดเห็นว่า ผมสวยหรือไม่สวย
long เป็น size  บ่งบอกว่า มีผมยาว และที่สำคัญ size รวมถึงความยาวด้วย
straight เป็น shape  (size มาก่อน shape ถูกต้องแล้ว) บ่งบอกว่า รูปร่างของผมว่าเป็นผมตรง
black เป็น colour  ผมมีสีดำ


6. Preposition ใช้เพื่อระบุ ตำแหน่ง วัน เวลา และสถานที่
     prep. บอกตำแหน่ง ได้แก่ at, in, on, under, next to, beside, behide, in front of, etc.
     prep. บอกวันใช้ on บอกเดือนและปีใช้ in (ถ้าบอก วันเดือนปี พร้อมกัน ให้ใช้ on)
     prep. บอกเวลาใช้ at
     prep. บอกสถานที่ใช้ at  แต่ถ้าบอกว่า อยู่จังหวัดใด ประเทศใด ใช้ in นะคะ


7. Conjunction ใช้ เชื่อมคำ หรือ เชื่อมความ
    ถ้าเราจำ FANBOYS 
    F = for
    A = and
    N = nor
    B = but
    O = or
    Y = yet
    S = so

8. Interjection เพิ่มสีสันให้แก่ชีวิต บ่งบอกอารมณ์และความรู้สึก
  interjection นั้น คือ คำอุทาน มีทั้งอุทานเป็นคำ และ อุทานเป็นประโยค 


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เพลงที่ชอบ

สถานที่ชอบ

อาหารที่ชอบ